ก.ต่างประเทศ ย้ำ 15 คนไทยชุดแรก ได้กลับประเทศพร้อมกันใน 1 เที่ยวบิน ออกเดินทางพรุ่งนี้ ส่วนชุด 2 เตรียมไว้ 80 ที่นั่ง พร้อมเดินทาง 18 ต.ค.นี้ ทูตวอนเข้าใจสภาวะสงคราม ยันทำเต็มที่ ทยอยช่วยจากพื้นที่อันตรายที่สุดก่อน
วันที่ 10 ตุลาคม 2566 เมื่อเวลา 11.00 น. นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวความคืบหน้าสถานการณ์การสู้รบในอิสราเอล ว่า สถานการณ์ยังคงความรุนแรง พื้นที่ฉนวนกาซามีการปะทะกันทั้ง 2 ฝ่าย โดยอิสราเอลพยายามยึดพื้นที่ ตัดน้ำตัดไฟ อีกทั้งเคลื่อนย้ายประชาชนออกไปยังที่ปลอดภัย
อีกทั้ง มีการขยายวงการโจมตีจากฉนวนกาซา ไปยังกรุงเทลอาวีฟ เมืองโดยรอบ และนครเยรูซาเลม ถือเป็นการโจมตีมีรัศมีกว้าง มุ่งเป้าทำลายระบบโครงสร้างพื้นฐานของอิสราเอล ในทางกลับกันอิสราเอลก็มีการโจมตีไปยังปาเลสไตน์เช่นกัน โดยกองทัพอิสราเอล ประกาศว่าสามารถประชับพื้นที่ในเขตเมืองต่างๆ ได้สำเร็จ อพยพคนออกจากเมืองรอบฉนวนกาซาได้แล้ว 15 เมือง จาก 24 เมือง แต่อาจยังมีผู้ก่อการร้ายหลงเหลืออยู่ในพื้นที่บ้าง โดยมีการระดมกองหนุนมากกว่า 300,000 คน ถือเป็นการระดมพลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อิสราเอล
ส่วนเรื่องผลกระทบแรงงานไทย นายจักรพงษ์ แสงมณี เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ไปช่วงเช้าที่ทำเนียบรัฐบาล ตัวเลขล่าสุดได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 6 ราย เป็น 18 ราย ซึ่งเป็นการรับแจ้งจากนายจ้าง โดยยังไม่ได้รับการยืนยันจากทางการอิสราเอล ซึ่งเป็นการยากที่จะดำเนินการในขณะนี้ ส่วนผู้บาดเจ็บยังเป็น 9 คน และผู้ที่ถูกจับกุมเป็นตัวประกันคงเดิม 11 คน
กองทัพอิสราเอล อพยพพลเรือนได้แล้วหลายร้อยราย
นางกาญจนา เผยต่อไปว่า เป็นข่าวดีที่กองทัพอิสราเอล ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ อพยพพลเรือน รวมถึงแรงงานไทย ออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยสูงสุด จากบริเวณไม่เกิน 4 กิโลเมตรรอบฉนวนกาซา โดยอพยพออกมาแล้วหลายร้อยคนไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ และฝ่ายแรงงาน ช่วยกันสนับสนุนการแจ้งที่อยู่ของแรงงานไทยให้ทางการอิสราเอลทราบ อีกทั้งมีความพยามยามจะใช้เทคโนโลยีช่วยติดตามผู้สูญหาย และผู้ที่ติดต่อไม่ได้ เป็นการความร่วมมือระหว่างองค์กรเอกชน และตำรวจอิสราเอล คือใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าในการสำรวจตรวจสอบ ซึ่งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ อยู่ระหว่างส่งรายชื่อของผู้ที่ญาติไม่สามารถติดต่อได้ไปเพื่อให้การช่วยเหลือ
ในส่วนของการติดต่อกับปาเลสไตน์ ยืนยันว่าแต่ละฝ่ายยังคงพยายามหาหนทางเจรจาเพื่อให้เกิดการยุติความรุนแรง ซึ่ง นายปานปรีย์ พหิทธานุกร เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือทางโทรศัทพ์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอล เมื่อค่ำวานนี้ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอลแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ พร้อมให้คำมั่นที่จะพยายามดูแลคนไทยในอิสราเอลอย่างดีที่สุด โดยแสดงความมั่นใจว่าจะสามารถคุมสถานการณ์ได้ ย้ำว่าจะดูแลคนชาติอื่นเช่นเดียวกับชาติของตน

ทางด้าน นายปานปรีย์ แจ้งย้ำว่า รัฐบาลไทยให้ความสูงสุดเรื่องความปลอดภัยกับพี่น้องชาวไทยในอิสราเอล โดยขอให้อิสราเอลทำทุกวิถีทางที่จะช่วยปกป้องคนไทยให้ปลอดภัย และเร่งการช่วยเหลือคนไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกันให้เร็วที่สุด อีกทั้งขอให้ช่วยตรวจสอบยืนยันข้อมูลผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บอย่างเป็นทางการด้วย
ส่วนกรณีที่กลุ่มฮามาส ประกาศว่าหากอิสราเอลโจมตี โดยข่มขู่ว่าจะสังหารหรือทำร้ายตัวประกันนั้น โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า เท่าที่มีการหารือกับฝ่ายต่างๆ หวังว่ากลุ่มฮามาสไม่น่าจะทำร้ายคนต่างชาติเพราะไม่ได้เกี่ยวข้อง และคงไม่อยากขยายความขัดแย้ง จึงต้องรอดูเหตุการณ์ต่อไป

18 ต.ค.นี้ เตรียมส่งคนไทยชุด 2 กลับประเทศอีก 80 คน
อธิบดีกรมสารนิเทศ กล่าวยืนยันด้วยว่า สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ จะส่งแรงงานไทยครั้งที่ 1 ในวันที่ 11 ตุลาคม 2566 จำนวน 15 คน ในจำนวนนี้ เป็นผู้ได้รับบาดเจ็บ รักษาแล้ว อยู่ในสถานที่เดินทางได้ 4 คน และผู้ที่เป็นแรงงานที่เคลื่อนย้ายออกมาพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ว อีก 11 คน ด้วยเครื่องบินพาณิชย์ สายการบินอิสราเอลแอร์ไลน์ เที่ยวบิน LY083 ยืนยันว่าเดินทางพร้อมกันทั้ง 15 คนในเที่ยวบินนี้ ออกเดินทางจากกรุงเทลอาวีฟ เวลา 21.45 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) และมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 10.35 น. วันที่ 12 ตุลาคม 2566 โดยจะมีการไปรับและให้กำลังใจพี่น้องชาวไทยที่กลับมาด้วย อีกทั้งวันนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะส่งทีมไปเสริมกับทางสถานทูตด้วยที่กรุงเทลอาวีฟ

“สถานทูตที่เทลอาวีฟ กำลังพยายามจัดเที่ยวอพยพเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าเที่ยวบินต่อไปน่าจะมีขึ้นในวันที่ 18 ตุลาคม จำนวน 80 ที่นั่ง ล่าสุดมีผู้แสดงความประสงค์ขอขึ้นเครื่องบินอพยพจำนวนเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน (9 ตุลาคม 2566) สถานะเมื่อกลางคืน เป็น 3,226 คน”
ทั้งนี้ หลายประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปเริ่มมีการอพยพจากอิสราเอลแล้ว โดยใช้เครื่องบินทหาร เครื่องบินพาณิชย์ สายการบินแห่งชาติ โดยคาดว่าโปแลนด์จะอพยพเสร็จสิ้นภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2566 กรีซ โรมาเนีย ฮังการี เซอร์เบีย บัลแกเรีย แอลเบเนีย มาซิโดเนีย โคโซโว ดำเนินการแล้ว ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ใกล้พื้นที่ ส่วนประเทศที่อยู่ระหว่างดำเนินการ อาทิ บราซิล ชิลี เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเทศก็คงอยากให้คนของตนเองรีบออกมา โดยท่าอากาศยานยังทำการบินอยู่

ทูตไทยวอนเข้าใจ ทยอยช่วยจากพื้นที่อันตรายที่สุดก่อน
ทางด้าน นางสาวพรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์เข้ามา โดยเริ่มจากการแสดงความเสียใจผู้สูญเสีย พร้อมส่งกำลังใจพี่น้องที่ยังห่วงกังวลแรงงานในพื้นที่ ยืนยันว่าสถานทูตไม่ได้นิ่งนอนใจ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นระดมสรรพกำลังกำลังติดต่อแรงงานไทย แต่ประเทศอิสราเอลยังอยู่ในสภาวะสงคราม ซึ่งขณะนี้แบ่งโซนพื้นที่ฉนวนกาซา เป็นสีแดง สีส้ม สีเหลือง การช่วยเหลือจะไปทีละโซน พยายามจัดลำดับไปตามโซนที่อันตรายที่สุดก่อน เข้าใจในผู้ที่รอความช่วยเหลือ ซึ่งสถานทูตมีการประสานทางการอิสราเอลเป็นระยะว่ามีคนไทยติดอยู่ในพื้นที่ต่างๆ จึงขอวิงวอนทุกฝ่ายเข้าใจในข้อจำกัดนี้
เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ยืนยันว่า คนไทยกลุ่มแรก 15 คน จะออกจากอิสราเอล วันที่ 11 ตุลาคมนี้แน่นอน อีกทั้งจะมีการไปตั้งเคาน์เตอร์ที่สนามบินเพื่อออกเอกสารให้ทั้ง 15 คน เพราะอาจไม่มีเอกสารติดตัวมา ย้ำว่าจะทำให้พี่น้องแรงงานไทยขึ้นเครื่องบินกลับประเทศให้ได้ ยกเว้นแต่สนามบินปิดทำการ แต่เชื่อว่าจะได้กลับไทยแน่นอน ขณะที่คนไทยชุด 2 ที่จะกลับในวันที่ 18 ตุลาคม เจ้าหน้าที่ได้ติดต่อกลับหาทุกคนที่ลงทะเบียน เพื่อยืนยันในการจองตั๋วเครื่องบิน โดยต้องมีแผนงาน เพราะการเดินทางทำไม่ได้โดยง่าย บางพื้นที่ใกล้กับฉนวนกาซาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเลย แต่ให้คำมั่นว่าจะพยายามทำให้ดีที่สุด

สำหรับพี่น้องคนไทยที่ประสงค์จะขอรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือติดต่อสอบถามเกี่ยวกับญาติที่พำนักอยู่ในอิสราเอล สามารถติดต่อได้ที่
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ
- โทรศัพท์ (+972) 546368150
กรมการกงสุล (Call center 30 คู่สาย ตลอด 24 ชั่วโมง)
- โทรศัพท์ 02 5728442
กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ
- โทรศัพท์ 06-4019-8530
- โทรศัพท์ 06-4019-8907
- โทรศัพท์ 09-9616-4786
- โทรศัพท์ 0-2575-1047-51 หรือ 0-2575-1053 (ในวันและเวลาราชการ)
- Email: [email protected]